Saturday, September 27, 2008

Love in the cards

บ่อยครั้งที่หยิบโปสการ์ดขึ้นมา แต่ไม่รู้ว่าเขียนอะไรดี ทั้งที่มีเรื่องจะเล่าเยอะแยะไปหมด แต่สุดท้ายก็ต้องจบลงแค่ "ขอให้มีความสุข" "สุขภาพแข็งแรง" เป็นต้น....ถ้าหากเราเขียนการ์ดได้เพียงคนละหนึ่งใบเท่านั้น เธอคิดว่าจะเขียนอะไร
if we can write and send only one postcard, what you will write on?

Thursday, September 25, 2008

Need LOVE

L = Listen O = Overlook V = Voice Appreciation E = Encourage & Support

Wednesday, September 24, 2008

I need a Kiss

K = Keep

I = It

S = Sweet

S = Sincere

Monday, September 22, 2008

Farewell Armelle

วันนี้กลับมาที่สวนผึ้งอีกครั้ง เป็นครั้งสุดท้าย ของ Armelle ช่างเป็นการร่ำลาที่กระชั้นชิด เพราะพรุ่งนี้เธอจะกลับฝรั่งเศสแล้ว เป็นการบอกลาที่ประทับใจมาก โดยเฉพาะที่ บ้านห้วยคลุม ผู้ปกครองของเด็กจัดพิธีขอบคุณเล็กๆ สำหรับ Armelle มีการร้องเพลงเป็นภาษาปาเกอะญอ เพราะมากๆ ถึงแม้จะฟังไม่ออกก็เถอะ รู้สึกเหมือนเป็นนางงามหรือนางฟ้า ที่มีคนมาต้อนรับและคล้องพวงมาลัยให้และมอบของขวัญ รู้สึกเหมือนเป็น "คนพิเศษ" ยังไงบอกไม่ถูก มีความสุขยังไงบอกไม่ถูกทั้งที่ไม่ใช่งานของตัวเอง (แค่พาเขามา)
เวลาที่เรากลับมาถึงบ้าน เราเปิดดูของขวัญที่ได้รับมา เป็นอะไรที่เราเรียกว่า น้ำใจของชาวบ้านไม่มีอะไรมาเปรียบค่าได้ ลองนึกถึงตอน เปิดของขวัญวันคริสต์มาส ซิ ทั้งมีความสุข ทั้งตื่นเต้น
*** Je penserai à vous mes enfants du mékong ***

Saturday, September 20, 2008

qu'est ce que je fais ici...

Qu’est ce que je fais pendant 4 ans, ici…. ?? Elle ne sait pas ???

« Je pense que ce serait bien que tu fasses un document avec tout ce que tu fais pour le comité de traduction »

« comme ça, ici on saura précisément ce que tu fais »

Je suis fatigué d'expliquer, de montrer ce que je fais! il faut que vous voyiez vous même.

c'est vraiment différent nous !

Friday, September 19, 2008

“ปลดล็อกประเทศไทย” ด้วยรัฐบาลประชาภิวัฒน์ บนฐานของอำนาจประชาชน

การเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในขั้นประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่สังคมโลกโลดแล่นไปบนเส้นทางแห่งการพัฒนา ประเทศไทยถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ไม่อาจพัฒนาตนเองได้อย่างอิสระ ไม่อาจปลดปล่อยศักยภาพภายในที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ ติดๆ ขัดๆ อึดๆ อัดๆ ต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี ตัวล็อกสำคัญที่สุดคือกลุ่มการเมืองในระบบการเมืองเลือกตั้ง เมื่อพวกเขาได้อำนาจบริหารประเทศแล้วก็มุ่งแต่แสวงประโยชน์ใส่ตัว ดำเนินนโยบายที่ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นที่ตั้ง สมคบกับอำนาจทุนต่างชาติเอารัดเอาเปรียบประเทศไทยและประชาชนไทย กล่าวกันว่า ในผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายต่างๆ นั้น ราวร้อยละ 90 ตกเป็นของกลุ่มการเมืองและกลุ่มทุนสามานย์ทั้งในและต่างประเทศ ที่เหลือราวร้อยละ 10 จึงตกหล่นลงไปสู่วิถีชีวิตของประชาชนทั่วไป สังคมไทยจึงเกิดการแยกขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนรวยกับคนจน เข้าสู่สภาพ “คนรวยกระจุก คนจนกระจาย” อย่างชัดเจน สภาพเช่นนี้ได้กลายเป็นเข็มทิ่มแทงหัวใจคนไทย ให้รู้สึกปวดร้าวลึกลงไปถึงขั้วหัวใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดคำถามย้ำอยู่ในใจคนไทยจำนวนมากตลอดเวลาว่า เราต้องทำอะไรบ้าง จึงจะสามารถขจัดกลุ่มอำนาจทุนสามานย์พ้นไปจากวงการการเมืองไทย ปลดล็อกประเทศไทย เพื่อประเทศไทยซึ่งมีดีทุกอย่าง ทั้งทางธรรมชาติและคุณภาพของประชากร สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างอิสระ สามารถร่วมกันออกแบบวางผังให้การพัฒนาประเทศยังประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง จนถึงจุดระเบิด เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ชูธงต่อต้านอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย”เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 และสามารถยืนหยัดปักหลักสู้อยู่บนถนนราชดำเนิน บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาลตราบจนถึงทุกวันนี้ การประกาศชักธงรบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รับเสียงตอบรับและการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกสถานภาพทางสังคม ทุกเชื้อชาติศาสนา และทุกเพศทุกวัย มีคนเข้าร่วมอย่างล้นหลาม กระทั่งสามารถจัดตั้งกันเข้าเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ ครอบคลุมไปทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งในหมู่ชาวไทยในต่างประเทศทั่วโลก ก่อตัวขึ้นมาเป็นอำนาจประชาชนอันยิ่งใหญ่ ดำเนินการต่อสู้กับอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นฐานค้ำของอำนาจรัฐที่เป็นระบบเผด็จการรัฐสภาในระบอบทักษิณ โดยตั้งเป้าชัดเจนว่าจะต้องโค่นล้มอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณลงไปให้ได้ แล้วสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่ เพื่อเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เข้มแข็ง มีความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยเห็นว่า ระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถรองรับกระบวนการพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน สามารถปกป้องประเทศไทยมิให้ต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ ประชาชนชาวไทยอยู่เย็นเป็นสุข มีอิสรภาพในการพัฒนาตนเอง ประเทศไทยและคนไทยจึงจะเชิดหน้าชูตาได้อย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีโลกยุคปัจจุบันได้อย่างแท้จริง จากชัยชนะสู่ชัยชนะ โดยภาพรวมแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 เป็นต้นมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประสบชัยชนะในการต่อสู้อย่างงดงาม ติดต่อกันมาเรื่อยๆ ในช่วงเกือบสี่เดือนที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายใต้แกนนำทั้งห้า สามารถขยายฐานการสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยได้อย่างรวดเร็วยิ่ง โดยอาศัยเครือข่ายสื่อดิจิตอลของกลุ่มบริษัทผู้จัดการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เสียงสนับสนุนกระทั่งเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ ของประชาชนทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ ได้ยกระดับทั้งทางปริมาณและคุณภาพอย่างต่อเนื่องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ เช่น สกัดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดโปงการขายชาติขายดินแดน และการทุจริตโกงกินจากการผลักดันโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินงบประมาณมหาศาลหรือที่เรียกว่า “โครงการเมกะโปรเจกต์” และการใช้อำนาจแบบฉ้อฉลในทุกๆ ด้านของรัฐบาลหุ่นเชิดนำโดยพรรคพลังประชาชน ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ กระทั่งพัฒนาสู่ความเป็นกฎเกณฑ์ในตัว คือ เมื่อใดที่พันธมิตรฯ เคลื่อนตัว เช่น ปฏิบัติการอารยะขัดขืนในรูปของดาวกระจาย ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นเอกภาพ เกิดผลกระทบทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ สร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นศรัทธาในหมู่ประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านของความถูกต้องของแนวทางการต่อสู้และสถานภาพแห่งความเป็นอำนาจใหม่ อำนาจประชาชนที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย กล่าวได้ว่า ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในฐานะเป็นอำนาจการเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยแล้ว มีความพร้อมที่จะแสดงบทบาทในฐานะอำนาจนำ กำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยได้อย่างเป็นจริง การออกแถลงการณ์ เชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกฝ่าย ร่วมกันจัดตั้ง “รัฐบาลประชาภิวัฒน์”อย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย.2551 เป็นสิ่งยืนยันอีกครั้งหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในความเป็นอำนาจนำทางการเมืองของประเทศไทย วันนี้ อันเป็นการเริ่มต้นของการเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่าทุกฝ่ายจะขานรับ อันหมายถึงยอมรับการดำรงอยู่ของอำนาจใหม่ทางการเมือง ที่ตั้งอยู่บนฐานของอำนาจประชาชน เชื่อว่ากระบวนการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนในนาม “รัฐบาลประชาภิวัฒน์” จักบรรลุผลสำเร็จด้วยดี ด้วยหลักประกันของอำนาจการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “รัฐบาลประชาภิวัฒน์” มีหลักการดังต่อไปนี้ (คัดจากแถลงการณ์ ฉบับที่ 22/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) 1.ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ ขอให้นักการเมืองในรัฐสภายอมเสียสละพื้นที่ของตัวเอง ยอมให้บุคคลที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสามารถ และมีความจริงใจในการแก้ไขวิกฤตของบ้านเมือง ให้เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง และปราศจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มทุน 2.ให้รัฐบาลประชาภิวัฒน์เข้ามาดำเนินการภารกิจเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขวิกฤตของบ้านเมืองตามแนวทางในแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะสางความอยุติธรรมทั้งปวงและคืนความยุติธรรมกลับสู่สังคมไทย 3.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะต้องเป็นกลุ่มคนที่พร้อมปฏิรูปการเมืองร่วมกับประชาชนด้วยความจริงใจ เป็นแกนกลางระดมความร่วมมือจากองค์กรประชาชนทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ เพื่อกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศชาติร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อความเป็นธรรมในสังคม และรับผิดชอบโดยให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง 4.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกำหนด “วาระแห่งชาติ” ที่แท้จริง และครอบคลุมปัญหาและความเรียกร้องของประชาชนทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพ 5.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกับประชาชนเพื่อทำให้เกิด “สภาประชาภิวัฒน์” ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย กว้างขวาง เพื่อนำพาประเทศให้พ้นจากวิถีการเมืองแบบเดิม ที่เอื้อต่อการทุจริต คอร์รัปชัน ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบ และไม่ตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน โดย สันติ ตั้งรพีพากร

Monday, September 15, 2008

Trust Love Peace Truth Bliss

Where there is trust there is love
Where there is love there is peace
Where there is peace there is truth
Where there is truth there is bliss
Where there is bliss there is God

Monday, September 08, 2008

Tenderness and softness

When a man is born, he is tender and weak; At death he is hard and stiff. When things and plants are alive, They are soft and flexible; when they are dead they are brittle and dry. Therefore hardness and stiffness are death's companions, And softness and tenderness are the friends of life
LAOTSE

Thursday, September 04, 2008

วันพุธ ที่ผ่านไป...ด้วยตัวของมันเอง

ระหว่างที่เดินทางกลับบ้าน กำลังจะขึ้นรถไฟฟ้า พนักงานก็ประกาศว่าเกิดเหตุขัดข้องบนสายสีลม ทำให้เกิดการล้าช้า ฉันเลยหยุดชะงักที่แผงหนังสือบนสถานีรถไฟฟ้า ไม่มีอะไรดึงดูดใจฉันเท่า “ขวัญเรือน” ที่อ่านขวัญเรือน เพราะว่า ครบรสดี มีสาระน่ารู้ต่าง ๆ ประวัติศาตร์ ศิลปะ การท่องเที่ยว เรื่องเคล็ดลับในครัวต่างๆ ถือว่าเป็นนิตยสารรายปักษ์ที่ราคาไม่แพงและมีเนื้อหาครบครัน วันนี้เป็นอีกวันหนี่งที่ใจฉันมันรุ่มร้อน ลอยไปลอยมาทั้งที่มีงานมากมายกองอยู่บนโต๊ะหลังจากลาพักร้อน เสียงโทรศัพท์ที่ดังตลอดไม่หยุดไม่หย่อน พรุ่งนี้แล้วสินะเจ้านายคนใหม่ของฉันจะมา ฉันรู้สึกเครียดไม่น้อยว่าจะเริ่มงานอย่างไรดีกับเจ้านายคนใหม่ ในเมื่อใจฉันมันบอกว่า อิ่มแล้วพอแล้วกับงานนี้ มันถึงเวลาเดินทางครั้งใหม่ครั้งใหญ่แล้ว ต้องเก็บกระเป๋าสักที ไม่งั้นเดี๋ยวจะต้องพลาดรถไฟขบวนสุดท้าย วันนี้โทรไม่หาเพื่อนสนิทสองคน สองคนนี้เป็นเพื่อนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่มัธยม ทั้งสองคนแต่งงานแล้ว คนหนึ่งเพิ่งจะคลอดได้สัปดาห์กว่า อีกคนหนึ่งกำลังแพ้ท้องอย่างหนักเลย รู้สึกตื่นเต้นแทนเพื่อนทั้งสองคนจัง คนที่เพิ่งคลอดเขาก็บรรยายความรู้สึกต่างๆ ที่เพื่อนมีต่อลูก เช่นว่า ลูกเลี้ยงง่ายไม่งอแงเลย น้ำนมก็เยอะ ยุ่งอยู่กับลูกตลอดเวลา ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่น เวลาที่ลูกยิ้มช่างเป็นรอยยิ้มที่ปราศจากสิ่งเจื้อปน ช่างใส บริสุทธิ์และไร้เดียงสา อีกคนหนึ่งก็กำลังเหนื่อยล้าจากการแพ้ท้อง และหวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีและปลอดภัย อาการที่ว่าอยากสัมผัสประสบการณ์นี้ก็เกิดขึ้น ก็คงเป็นธรรมดาที่ลูกผู้หญิงอย่างเรา อยากจะมีประสบการณ์การท้อง การคลอด และการเป็นแม่คน ฟังดูมันช่างยิ่งใหญ่ ใช่มันยิ่งใหญ่ บางทีฉันอาจจะอยู่ในช่วงที่เรียกว่า กำลังไต่ขึ้นบนบันไดของคานทอง ขั้นแรกๆ คิดดูสิถ้าอีก สามปี แล้วไม่มีอะไรคืบหน้า ประสบการณ์ที่ว่าเรื่อง การตั้งท้องก็คงจะไม่เหมาะนัก สำหรับคนวัยหลังสามสิบไปแล้ว นี่นะเหรอสิ่งที่พวกผู้หญิงเขากลัวกัน เพื่อนๆ ปลอบใจฉันเสมอว่าตัวคนเดียวนะดีแล้ว เป็นอิสระดี จะทำอะไรก็ได้ ชอบเที่ยวไม่ใช่เหรอ จะได้ไม่ต้องมีห่วง แต่ฉันว่าจริงๆ แล้วเวลาที่ความเหงาย่างกรายเข้ามา ใจมันก็ต้องเรียกหาใครสักคนอยู่ดี หวังว่าฉันจะพบกับคนคนนั้นเร็วๆ แล้วฉันก็เดินทางต่อไป...

Monday, September 01, 2008

Colors of Luang Prabang

Luang Prabang by night

night market or Monk's market

Luang Prabang

My alarm clock rang gently at 6 am. We want to have our nice breakfast at the river side and want to be the first passenger in the boat to have a good seat (better have a sit in front). We are lucky; we got a seat with the cushion! Yeah! There were quite a lot of Lao’s passengers than tourists. We brought a sandwich and fried rice for lunch. I felt that the journey is not so long. We reached Luang Prabang at 5 pm. It’s gorgeous! I leaded Armelle to a guesthouse where I’ve been last year with other volunteers between Bun Pi Mai (Lao New Year).

A good memory

สะบายดี หลวงพระบาง Sabai dee Luang Prabang : Take II (Sail sail away to Laung Prabang)

We crossed the river by long tail boat (40 THB/ the cost is double from last year). Water revel was high today. The color of the river is very strong, having a lot of power. I passed the border office easy (Thai people don’t need visa. There is 5000 kips for overtime fee. It was Saturday) Armelle needs to make more complicate possession to passing border (French people have to pay for Visa 30 $, plus 1 $ for overtime fee) I was looking for the ticket boat while Armelle was waiting for her visa. The boat leaves everyday at 11 am from Luang Prabang to Chiang Khong. It’s the slow boat; takes 2 days; there is the speed boat also but it’s quite dangerous; takes about maybe 6 hours (not sure). We paid 1000 THB/person for the slow boat.

In the boat, there had already some people; many foreigners and some Laos. Christophe told us before leaving it would be more comfortable if we bring a cushion for sitting. We saw that cost 40 THB at the port. We didn’t buy it cos we don’t want to carry it on after the boat. The seat is small benches make by wood…um my ass! We both sit on a bench together. I got the window seat. Most of tourists are Farangs. There were a few Asiatic, four Japanese, one China and one Thai. The first day boat trip, we’ve left Huay Xai around 11 am. I was a bit exciting! It’s a long journey. When the boat started the motor, I heard a sound like wow! What beautiful scenery! Green mountain cut off the orange of the river awesome beautiful! At the back, American girls enjoyed their Mekong risky and talked a loud. At middle, tourists lied down on the floor; some listen to the music, read the book and played the cards, this is our activities along the way. The boat stopped a few time at the village where there had passengers. No limit! Once we reached to a village at noon, we saw the children carry their basket waiting for the boat come a long side a wharf. They shout! Chip ‘n cock! Chip ‘n cock! Beer Laos… Chip ‘n cock Chip ‘n cock! Beer Laos! There sale chip, soft drink and beer Laos. Since we crossed the border Thai-Laos; it seems that Beer Laos is the sign of LAOS.

the activities
We reached to Parkbang where the boat stops at night. We found a guesthouse 200 THB/a night with fan but the electricity cut off at 10 pm. The temperature outside is lower than inside the room. We were extremely hungry! Armelle ordered Tuna Fried Rice and me I’d like to taste local food. I had Lap Kai and sticky rice. It tastes good but not so hot; it tastes absolutely for foreigner. We’ve finished diner quickly and go to bed. Cos tomorrow, it will be the long journey; 8 am to 5 pm! 9 hours.
Breakfast mervellous, at Barkbang