Friday, September 19, 2008

“ปลดล็อกประเทศไทย” ด้วยรัฐบาลประชาภิวัฒน์ บนฐานของอำนาจประชาชน

การเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในขั้นประวัติศาสตร์ยุคใหม่ ที่สังคมโลกโลดแล่นไปบนเส้นทางแห่งการพัฒนา ประเทศไทยถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา ไม่อาจพัฒนาตนเองได้อย่างอิสระ ไม่อาจปลดปล่อยศักยภาพภายในที่มีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ ติดๆ ขัดๆ อึดๆ อัดๆ ต่อเนื่องกันมาหลายสิบปี ตัวล็อกสำคัญที่สุดคือกลุ่มการเมืองในระบบการเมืองเลือกตั้ง เมื่อพวกเขาได้อำนาจบริหารประเทศแล้วก็มุ่งแต่แสวงประโยชน์ใส่ตัว ดำเนินนโยบายที่ถือเอาผลประโยชน์กลุ่มตนเป็นที่ตั้ง สมคบกับอำนาจทุนต่างชาติเอารัดเอาเปรียบประเทศไทยและประชาชนไทย กล่าวกันว่า ในผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินนโยบายต่างๆ นั้น ราวร้อยละ 90 ตกเป็นของกลุ่มการเมืองและกลุ่มทุนสามานย์ทั้งในและต่างประเทศ ที่เหลือราวร้อยละ 10 จึงตกหล่นลงไปสู่วิถีชีวิตของประชาชนทั่วไป สังคมไทยจึงเกิดการแยกขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนรวยกับคนจน เข้าสู่สภาพ “คนรวยกระจุก คนจนกระจาย” อย่างชัดเจน สภาพเช่นนี้ได้กลายเป็นเข็มทิ่มแทงหัวใจคนไทย ให้รู้สึกปวดร้าวลึกลงไปถึงขั้วหัวใจอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จึงเกิดคำถามย้ำอยู่ในใจคนไทยจำนวนมากตลอดเวลาว่า เราต้องทำอะไรบ้าง จึงจะสามารถขจัดกลุ่มอำนาจทุนสามานย์พ้นไปจากวงการการเมืองไทย ปลดล็อกประเทศไทย เพื่อประเทศไทยซึ่งมีดีทุกอย่าง ทั้งทางธรรมชาติและคุณภาพของประชากร สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างอิสระ สามารถร่วมกันออกแบบวางผังให้การพัฒนาประเทศยังประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง จนถึงจุดระเบิด เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ชูธงต่อต้านอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการประกาศทำ “สงครามครั้งสุดท้าย”เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2551 และสามารถยืนหยัดปักหลักสู้อยู่บนถนนราชดำเนิน บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ และทำเนียบรัฐบาลตราบจนถึงทุกวันนี้ การประกาศชักธงรบของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รับเสียงตอบรับและการสนับสนุนอย่างท่วมท้นจากประชาชนทุกสาขาอาชีพ ทุกสถานภาพทางสังคม ทุกเชื้อชาติศาสนา และทุกเพศทุกวัย มีคนเข้าร่วมอย่างล้นหลาม กระทั่งสามารถจัดตั้งกันเข้าเป็นเครือข่ายพันธมิตรฯ ครอบคลุมไปทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งในหมู่ชาวไทยในต่างประเทศทั่วโลก ก่อตัวขึ้นมาเป็นอำนาจประชาชนอันยิ่งใหญ่ ดำเนินการต่อสู้กับอำนาจกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นฐานค้ำของอำนาจรัฐที่เป็นระบบเผด็จการรัฐสภาในระบอบทักษิณ โดยตั้งเป้าชัดเจนว่าจะต้องโค่นล้มอำนาจทุนสามานย์ในระบอบทักษิณลงไปให้ได้ แล้วสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่ เพื่อเสริมสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เข้มแข็ง มีความเป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยเห็นว่า ระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น จึงจะสามารถรองรับกระบวนการพัฒนาประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน สามารถปกป้องประเทศไทยมิให้ต่างชาติเอารัดเอาเปรียบ ประชาชนชาวไทยอยู่เย็นเป็นสุข มีอิสรภาพในการพัฒนาตนเอง ประเทศไทยและคนไทยจึงจะเชิดหน้าชูตาได้อย่างมีศักดิ์ศรีบนเวทีโลกยุคปัจจุบันได้อย่างแท้จริง จากชัยชนะสู่ชัยชนะ โดยภาพรวมแล้ว นับตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.2551 เป็นต้นมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประสบชัยชนะในการต่อสู้อย่างงดงาม ติดต่อกันมาเรื่อยๆ ในช่วงเกือบสี่เดือนที่ผ่านมา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยภายใต้แกนนำทั้งห้า สามารถขยายฐานการสนับสนุนจากประชาชนชาวไทยได้อย่างรวดเร็วยิ่ง โดยอาศัยเครือข่ายสื่อดิจิตอลของกลุ่มบริษัทผู้จัดการเป็นสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี เสียงสนับสนุนกระทั่งเข้าร่วมขบวนการต่อสู้ในรูปแบบต่างๆ ของประชาชนทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ ได้ยกระดับทั้งทางปริมาณและคุณภาพอย่างต่อเนื่องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวต่อสู้ เช่น สกัดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดโปงการขายชาติขายดินแดน และการทุจริตโกงกินจากการผลักดันโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินงบประมาณมหาศาลหรือที่เรียกว่า “โครงการเมกะโปรเจกต์” และการใช้อำนาจแบบฉ้อฉลในทุกๆ ด้านของรัฐบาลหุ่นเชิดนำโดยพรรคพลังประชาชน ได้เกิดเป็นปรากฏการณ์ กระทั่งพัฒนาสู่ความเป็นกฎเกณฑ์ในตัว คือ เมื่อใดที่พันธมิตรฯ เคลื่อนตัว เช่น ปฏิบัติการอารยะขัดขืนในรูปของดาวกระจาย ก็สามารถดำเนินไปได้อย่างเป็นเอกภาพ เกิดผลกระทบทางการเมืองอย่างมีนัยสำคัญ สร้างการยอมรับและความเชื่อมั่นศรัทธาในหมู่ประชาชนกว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านของความถูกต้องของแนวทางการต่อสู้และสถานภาพแห่งความเป็นอำนาจใหม่ อำนาจประชาชนที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของปวงชนชาวไทย กล่าวได้ว่า ณ วันนี้ ขบวนการการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ก้าวขึ้นมาอยู่ในฐานะเป็นอำนาจการเมืองใหม่ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยแล้ว มีความพร้อมที่จะแสดงบทบาทในฐานะอำนาจนำ กำหนดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของประเทศไทยไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยได้อย่างเป็นจริง การออกแถลงการณ์ เชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกฝ่าย ร่วมกันจัดตั้ง “รัฐบาลประชาภิวัฒน์”อย่างเป็นทางการเมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ย.2551 เป็นสิ่งยืนยันอีกครั้งหนึ่งอย่างมีนัยสำคัญของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในความเป็นอำนาจนำทางการเมืองของประเทศไทย วันนี้ อันเป็นการเริ่มต้นของการเมืองใหม่ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข อย่างมีนัยสำคัญ เชื่อว่าทุกฝ่ายจะขานรับ อันหมายถึงยอมรับการดำรงอยู่ของอำนาจใหม่ทางการเมือง ที่ตั้งอยู่บนฐานของอำนาจประชาชน เชื่อว่ากระบวนการจัดตั้งรัฐบาลของประชาชนในนาม “รัฐบาลประชาภิวัฒน์” จักบรรลุผลสำเร็จด้วยดี ด้วยหลักประกันของอำนาจการเมืองภาคประชาชนภายใต้การนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย “รัฐบาลประชาภิวัฒน์” มีหลักการดังต่อไปนี้ (คัดจากแถลงการณ์ ฉบับที่ 22/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย) 1.ส่งเสริมให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง มิให้คนไม่ดีมีอำนาจ ขอให้นักการเมืองในรัฐสภายอมเสียสละพื้นที่ของตัวเอง ยอมให้บุคคลที่เป็นคนดี ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มีประวัติด่างพร้อย มีความสามารถ และมีความจริงใจในการแก้ไขวิกฤตของบ้านเมือง ให้เข้ามาบริหารประเทศชั่วคราวโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในทุกระดับ ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของพรรคการเมือง ปราศจากตัวแทนผลประโยชน์ของกลุ่มการเมือง และปราศจากตัวแทนกลุ่มผลประโยชน์ของกลุ่มทุน 2.ให้รัฐบาลประชาภิวัฒน์เข้ามาดำเนินการภารกิจเฉพาะกิจ เพื่อแก้ไขวิกฤตของบ้านเมืองตามแนวทางในแถลงการณ์ฉบับที่ 21/2551 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สะสางความอยุติธรรมทั้งปวงและคืนความยุติธรรมกลับสู่สังคมไทย 3.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะต้องเป็นกลุ่มคนที่พร้อมปฏิรูปการเมืองร่วมกับประชาชนด้วยความจริงใจ เป็นแกนกลางระดมความร่วมมือจากองค์กรประชาชนทุกภาคส่วน ทุกสาขาอาชีพ เพื่อกำหนดอนาคตและทิศทางของประเทศชาติร่วมกัน ช่วยกันพัฒนาสร้างสรรค์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งเนื้อหา รูปแบบ โครงสร้างทางการเมืองและวัฒนธรรมทางการเมือง ที่อยู่บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางเพื่อความเป็นธรรมในสังคม และรับผิดชอบโดยให้ประชาชนมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง 4.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกำหนด “วาระแห่งชาติ” ที่แท้จริง และครอบคลุมปัญหาและความเรียกร้องของประชาชนทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพ 5.รัฐบาลประชาภิวัฒน์ จะร่วมกับประชาชนเพื่อทำให้เกิด “สภาประชาภิวัฒน์” ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย กว้างขวาง เพื่อนำพาประเทศให้พ้นจากวิถีการเมืองแบบเดิม ที่เอื้อต่อการทุจริต คอร์รัปชัน ใช้เล่ห์เพทุบายเพื่อหลบเลี่ยงจากการตรวจสอบ และไม่ตอบสนองปัญหาและความต้องการของประชาชน โดย สันติ ตั้งรพีพากร

No comments: